สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล (อังกฤษ: Liverpool Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ตั้งอยู่ที่เมืองลิเวอร์พูล เทศมณฑลเมอร์ซีไซด์ ลิเวอร์พูลเป็นหนึ่งในทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอังกฤษครองแชมป์ดิวิชัน 1 ถึง 18 ครั้ง ครองแชมป์ยูโรเปียนคัพ 5 ครั้ง ยูฟ่าคัพ 3 ครั้ง ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 3 ครั้ง และฟุตบอลลีกคัพซึ่งเป็นการแข่งขันฟุตบอลภายในประเทศอังกฤษ อีก 8 ครั้ง
ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1892 และได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลลีกในปีต่อมา ลิเวอร์พูลใช้สนามแอนฟีลด์ตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร ช่วงเวลาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์คือช่วงทศวรรษ 1970 - 1980 เมื่อบิลล์ แชงคลีและบ็อบ เพลสลี่ย์พาทีมคว้าแชมป์ลีก 11 ครั้ง และคว้าถ้วยรางวัลยูโรเปียน 7 ใบ
สโมสรได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมที่สำคัญ 2 ครั้ง ครั้งแรกที่โศกนาฏกรรมเฮย์เซลเมื่อปี ค.ศ. 1985 แฟนฟุตบอลทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันส่งผลให้อัฒจันทร์พังลงมา มีผู้เสียชีวิต 39 คน เป็นแฟนบอลยูเวนตุสชาวอิตาลี 32 คน, เบลเยียม 4 คน, ฝรั่งเศส 2 คน, และไอร์แลนด์ 1 คน และส่งผลให้ลิเวอร์พูลถูกสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรปแบนเป็นเวลา 6 ปี ต่อมาในปี ค.ศ. 1989 เกิดโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร แฟนบอลของลิเวอร์พูล 96 คนเสียชีวิต เนื่องจากมีคนแออัดเข้ามาชมเกมมากเกินความจุจึงทำให้อัฒจันทร์ยืนได้พังลงมา
ลิเวอร์พูลมีการแข่งขันที่ยาวนานกับสโมสรเพื่อนบ้านอย่าง เอฟเวอร์ตันและแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ลิเวอร์พูลเปลี่ยนจากเสื้อสีแดงและกางเกงขาสั้นสีขาวเป็นสีแดงเต็มตัวเมื่อเล่นเป็นทีมเหย้าในปี ค.ศ. 1964 มีฉายาในภาษาไทยว่า "หงส์แดง" พร้อมด้วยคำขวัญ "You'll Never Walk Alone"
จอห์น โฮลดิง นักธุรกิจชาวเมืองลิเวอร์พูลได้เช่าพื้นที่บริเวณ แอนฟีลด์ โรด เพื่อใช้สร้างสนามฟุตบอล และเมื่อสร้างเสร็จได้ให้เอฟเวอร์ตัน เช่าเป็นสนามแข่งขันฟุตบอล และเมื่อทีมเอฟเวอร์ตันได้เข้าสู่สมาชิกฟุตบอลลีก จอห์น โฮลดิง พยายามจะเข้าไปบริหารงานในทีมเอฟเวอร์ตันและได้เพิ่มค่าเช่าสนามที่ทีมฟุตบอลได้เช่าอยู่ใน ฝ่ายกลุ่มผู้บริหารของเอฟเวอร์ตันจึงยกเลิกสัญญาเช่าสนามฟุตบอล และทีมเอฟเวอร์ตันได้ย้ายสนามไปอีกฝากของสวนสาธารณะสแตนลีย์พาร์ก เพื่อไปสร้างสนามเป็นของตัวเองโดยใช้ชื่อสนามว่า กูดิสันพาร์ค ดังนั้น จอห์น โฮลดิง จึงต้องการสร้างทีมฟุตบอลขึ้นมา และ จอห์น โฮลดิง จึงไปชวนเพื่อนสนิทของเขาชื่อ จอห์น แมคเคนน่า มาทำหน้าที่ประธานสโมสรและได้ตั้งชื่อทีมฟุตบอลนี้ว่า Liverpool Football Club
หลังจากที่สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งได้ไม่นาน ได้จัดการแข่งขัดนัดอุ่นเครื่อง ซึ่งเป็นการลงสนามนัดแรกของทีมลิเวอร์พูลกับทีมร็อตเตอร์แฮม ซึ่งผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมลิเวอร์พูลชนะไปด้วยผลการแข่งขัน 7-1 และลิเวอร์พูล ได้ลงแข่งขันฟุตบอลลีกของแคว้น แลงคาเชียร์ ปรากฏว่าลิเวอร์พูลลงแข่งทั้งหมด 22 นัด ชนะ 17 นัด และได้แชมป์ไปครอง ส่งผลให้ทางสโมสรสามารถสมัครเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีกซึ่งได้รับการยอมรับและถูกคัดเลือกให้ลงเล่นในดีวิชั่น 2 ในฤดูกาล 1893-1894 สโมสรจึงได้เลือกสัญลักษณ์ของทีมเป็น นกลิเวอร์เบิร์ด (Liverbird) ซึ่งเป็นนกแถบทะเลไอริช บริเวณแม่น้ำเมอร์ซีย์ โดยที่ปากนกคาบใบไม้ไว้ ทีมลิเวอร์พูลได้ลงทำการแข่งขันอย่างเป็นทางในฟุตบอลลีก ดิวิชั่น 2 ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1893 โดยทีมลิเวอร์พูลออกไปเยือนทีมมิดเดิลสโบรห์ และทีมลิเวอร์พูลสามารถได้แชมป์มาครองโดยที่ไม่แพ้ทีมใดเลยตลอดทั้งฤดูกาล (ทั้งหมด 28 นัด) แต่การคว้าแชมป์ลีกดิวิชั่น 2 ในตอนนั้นยังไม่ได้เลื่อนชั้นโดยทันที ต้องไปแข่งนัดชิงดำกับทีมอันดับสองก่อน โดยทีมอันดับสองในขณะนั้นคือ ทีมนิวตัน ฮีธ (ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน) และลงแข่งขันที่สนามของทีมแบล็คเบิร์น ซึ่งทีมลิเวอร์พูลเอาชนะทีมนิวตัน ฮีธไปด้วยผล 2-0 และได้เลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1 ในที่สุด
สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2435 และก้าวขึ้นมาเป็นสโมสรแนวหน้าของอังกฤษอย่างรวดเร็วจนประสบความสำเร็จเป็นแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศครั้งแรกในปี พ.ศ. 2444 (ฤดูกาล 1900/01) และครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2449 (ฤดูกาล 1905/06) ครั้งที่ 3 และ 4 เป็นแชมป์สองฤดูกาลติดใน พ.ศ. 2465 กับ พ.ศ. 2466 (ฤดูกาล 1921/22 กับ 1922/23) แชมป์ลีกสูงสุดครั้งที่ 5 คือปี พ.ศ. 2490 (ฤดูกาล 1946/47) อย่างไรก็ตามลิเวอร์พูลพบกับช่วงตกต่ำต้องไปเล่นในในดิวิชัน 2 ใน พ.ศ. 2497 (ฤดูกาล 1953/54) ภายหลังจึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสโมสรในปี พ.ศ. 2502 สโมสรได้แต่งตั้ง บิลล์ แชงก์คลี เป็นผู้จัดการทีม เขาได้เปลี่ยนแปลงทีมไปอย่างมาก จนประสบความสำเร็จได้เลื่อนชั้นในปี พ.ศ. 2505 (ฤดูกาล 1961/62) และได้แชมป์ลีกสูงสุดของประเทศอีกครั้งใน พ.ศ. 2507 (ฤดูกาล 1963/64) หลังจากรอคอยมานานถึง 17 ปี บิล แชงก์ลี คว้าแชมป์เอฟเอคัพเป็นถ้วยแรกของสโมสรลิเวอร์พูลในปี พ.ศ. 2508 (ฤดูกาล 1964/65) และคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 อีกครั้งในฤดูกาลต่อมา พ.ศ. 2509 (ฤดูกาล 1965/66) ความสำเร็จของแชงก์ลียังเดินหน้าต่อไป เมื่อลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพ พร้อมแชมป์ดิวิชั่น 1 ใน พ.ศ. 2516 (ฤดูกาล 1972/73) และเอฟเอคัพ อีกครั้งใน พ.ศ. 2517 (ฤดูกาล 1973/74) หลังจากนั้น บิลล์ แชงก์คลี ขอวางมือจากสโมสร โดยให้ผู้ช่วยของเขาสืบทอดตำแหน่ง ผู้จัดการทีมแทน นั่นคือ บ็อบ เพสส์ลี
สโมสรต้องประสบกับความซบเซาในช่วงหนึ่งหลังจากได้แชมป์ลีกสูงสุดในปี พ.ศ. 2533 คือได้เพียงเอฟเอคัพ 1 ใบ ปี พ.ศ. 2535กับลีกคัพ 1 ใบในปี พ.ศ. 2538 แต่ก็ฟื้นฟูขึ้นมาได้เมื่อพวกเขาสามารถคว้าแชมป์บอลถ้วยทั้งในระดับประเทศและระดับทวีปถึง 3 แชมป์ (คาร์ลิ่ง ลีกคัพ, เอฟเอคัพ รวมทั้งยูฟ่าคัพ) ได้ในปี พ.ศ. 2544 (ฤดูกาล 2000/01) ในปี 2544 นี้ลิเวอร์พูลยังคว้าถ้วยยูฟ่าซูเปอร์คัพ ที่เอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ในปีนั้น รวมทั้งเอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด คู่ปรับตัวฉกาจในถ้วยชาริตีชีลด์ ก่อนเปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีกเป็นปีที่หอมหวานปีหนึ่งของกองเชียร์ลิเวอร์พูล นักเตะสำคัญยุคนั้นได้แก่ ไมเคิล โอเวน, เอมิล เฮสกี, สตีเวน เจอร์ราร์ด, ซามี ฮูเปีย และ ยอร์น อาร์เน รีเซ เป็นต้น ทีมชุดนี้ผู้จัดการทีมคือ เฌราร์ อูลีเย ชาวฝรั่งเศส ผลงานเป็นชิ้นเป็นอันส่งท้ายของอูลีเยคือ การนำทีมลิเวอร์พูลชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 2-0 ในนัดชิงฟุตบอลลีกคัพ พ.ศ. 2546 (ฤดูกาล 2002/03) และแชมป์ที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งของลิเวอร์พูลคือปี 2548 ชนะในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เป็นครั้งที่ 5 ของสโมสร ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ตื่นตาตื่นใจครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์บอลยุโรป เมื่อลิเวอร์พูลไล่ตีเสมอทีม เอซี มิลาน เป็น 3-3 ทั้งที่โดนยิงนำไปก่อนถึง 3-0 และในที่สุดคว้าแชมป์มาได้จากการยิงจุดโทษชนะ 3-2 เป็นทีมจากอังกฤษที่ครองถ้วยยูโรเปียนคัพ (ปัจจุบันคือ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก) มากครั้งที่สุดถึง 5 สมัย ผู้เล่นที่สำคัญในยุคนั้น อาทิ สตีเวน เจอร์ราร์ด, ชาบี อาลอนโซ, ดีทมา ฮามันน์, วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์, เจอร์ซี ดูเด็ค และ เจมี คาร์ราเกอร์ คุมทัพโดย ผู้จัดการทีมสัญชาติสเปน ราฟาเอล เบนิเตซ ในฤดูกาลต่อมา พ.ศ. 2549 (ฤดูกาล 2005/06) ลิเวอร์พูลของเบนิเตซทำให้แฟนบอลต้องลุ้นอีกครั้ง ในนัดชิงเอฟเอคัพ เมื่อต้องอาศัยลูกยิงมหัศจรรย์ของ สตีเวน เจอร์ราร์ด ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บตีเสมอทีม เวสต์แฮม ยูไนเต็ด คู่ชิงแชมป์ในปีนั้นทำให้เสมอกันที่ 3-3 ต้องตัดสินแชมป์ด้วยการยิงจุดโทษอีกครั้ง และลิเวอร์พูลก็สามารถชนะไปได้ 3-1 เป็นแชมป์สำคัญรายการล่าสุดที่ลิเวอร์พูลทำได้ แต่รายการที่แฟนบอลต้องการมากที่สุดคือแชมป์ลีกของประเทศ หรือพรีเมียร์ลีกในปัจจุบัน ซึ่งปีล่าสุดที่ลิเวอร์พูลคว้ามาได้คือ พ.ศ. 2533 (ฤดูกาล 1989/90) จากการคุมทีมของ เคนนี ดัลกลิช ซึ่งต่อมาภายหลังดัลกลิชสามารถนำ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ได้ในปี พ.ศ. 2538 (ฤดูกาล 1994/95)
ในฤดูกาล 2009-10 ลิเวอร์พูลจบที่อันดับที่ 7 ในพรีเมียร์ลีก ซึ่งทำให้ไม่ได้ไปแข่งขันในรายการ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำให้ ราฟาเอล เบนิเตซ ต้องลาออกจากตำแหน่งด้วยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย และแทนที่โดย รอย ฮอดจ์สัน อดีตผู้จัดการทีม สโมสรฟูแลม
ในช่วงเริ่มต้นฤดูกาล 2010–11 สโมสรลิเวอร์พูลนั้นเสี่ยงล้มละลาย เนื่องจากแบกรับหนี้สินเป็นจำนวนมากจากการทำงานของ จอร์จ ยิลเลตต์ และ ทอม ฮิกส์ ทำให้ต้องขายสโมสร ต่อมา จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี เจ้าของทีม บอสตัน เรด ซ็อกซ์และนิว อิงแลนด์ สปอร์ตส์ เวนเจอร์ส ได้ซื้อสโมสรลิเวอร์พูล เมื่อตุลาคม 2010 ผลการแข่งขันที่ย่ำแย่ในช่วงต้นฤดูกาล ทำให้ฮอดจ์สันลาออกจากตำแหน่ง โดยมี เคนนี ดัลกลิช กลับมาคุมทีมอีกครั้ง โดยในฤดูกาล 2011-12 สามารถคว้าแชมป์ในรายการ คาร์ลิงคัพ ได้สำเร็จเป็นสมัยที่แปดจากการยิงจุดโทษตัดสินชนะ คาร์ดิฟฟ์ซีตี ผลประตูรวม 3-2 ในฤดูกาล 2011-12 ลิเวอร์พูลจบที่อันดับที่ 8 ซึ่งเป็นการจบอันดับที่แย่ที่สุดในรอบ 18 ปี ทางสโมสรก็ได้ปลดดัลกลิชออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ทางสโมสรได้ประกาศแต่งตั้ง เบรนดัน ร็อดเจอส์ อดีตผู้จัดการทีมสวอนซีซิตี เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่
ในฤดูกาล 2013-14 ลิเวอร์พูลมีโอกาสสูงที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยในช่วงท้ายฤดูกาลสามารถทำสถิติชนะรวดติดต่อกันมากถึง 11 นัด และลุยส์ ซัวเรซ กองหน้าของทีมก็เป็นผู้เล่นที่ยิงประตูได้สูงสุงของลีก ทำให้เป็นทีมมีคะแนนเป็นอันดับหนึ่งของตารางคะแนน แต่ทว่าในช่วงสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนสิ้นสุดฤดูกาล ลิเวอร์พูลไปแพ้ต่อ เชลซี และเสมอต่อ คริสตัลพาเลซ ทำให้แมนเชสเตอร์ซิตี ซึ่งเป็นทีมที่มีคะแนนเป็นอันดับสอง แต่แข่งน้อยกว่าหนึ่งนัด สามารถแซงหน้าและได้แชมป์ไปในที่สุด ด้วยคะแนน 86 คะแนน ขณะที่ลิเวอร์พูลทำได้ 84 คะแนน จบฤดูกาลลงด้วยอันดับที่สอง และได้กลับไปแข่งขันในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอีกครั้ง โดยยิงประตูไป 101 ลูก นับเป็นการยิงประตูมากที่สุด นับตั้งแต่ฤดูกาล 1895–96 ที่ยิงประตูไป 106 ลูก หลังผลงานน่าผิดหวังในฤดูกาล 2014-15 ทำให้ลิเวอร์พูลจบอันดับที่ 6 ในลีกพร้อมกับเริ่มต้นฤดูกาล 2015-16 ที่ย่ำแย่ ทำให้ เบรนดัน ร็อดเจอส์ ถูกไล่ออกเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2015 โดยมี เยือร์เกิน คล็อพ มาแทน โดยเป็นผู้จัดการทีมคนที่สามที่เป็นชาวต่างชาติในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล ในฤดูกาลแรก คล็อพ นำสโมสรเข้ารอบชิงชนะเลิศ ในรายการ ฟุตบอลลีกคัพ และยูฟ่ายูโรปาลีก แต่จบด้วยการเป็นรองชนะเลิศทั้งสองรายการ
สโมสรลิเวอร์พูลสวมชุดแข่งสีน้ำเงินและขาวก่อนที่จะมีการเปลี่ยนมาใช้ชุดสีแดงและกางเกงสีขาวในปี ค.ศ.1896 และใช้ชุดนั้นมาจนถึงปี ค.ศ. 1964 เมื่อบิลล์ แชงค์ลีย์ ตัดสินใจส่งทีมลิเวอร์พูลลงแข่งกับอันเดอร์เลชต์ พร้อมกับสวมชุดแข่งลายทางสีแดงทั้งชุดเป็นครั้งแรก
แถบชุดทีมเยือนของลิเวอร์พูลไม่ได้เป็นเสื้อสีเหลืองหรือสีขาวและกางเกงขาสั้นสีดำบ่อยๆ แต่มีหลายข้อยกเว้นชุดสีเทาทั้งเสื้อและกางเกงเป็นที่รู้จักในปี 1987 ซึ่งถูกนำมาใช้จนฤดูกาล 1991-1992 ซึ่งเป็นฤดูกาลรอบหนึ่งร้อยปี เมื่อมันถูกแทนที่ด้วยการผสมผสานของเสื้อสีเขียวและกางเกงขาสั้นสีขาว หลังจากการผสมสีต่างๆในปี 1990, รวมทั้งทองและน้ำเงินสีเหลือง, สีดำและสีเทาและสีนำตาลอ่อนสโมสรสลับไปมาระหว่างชุดออกสีเหลืองกับสีขาวจนกว่าฤดูกาล 2008-09, เมื่อชุดสีเทานำมาแนะนำอีก ชุดที่สามได้รับการออกแบบสำหรับการแข่งขันทีมเยือนในยุโรป ถึงแม้ว่าจะยังสวมใส่ในการแข่งขันทีมเยือนภายในประเทศในโอกาสที่เมื่อชุดทีมเยือนปัจจุบันปะทะกับชุดทีมเหย้า ชุดปัจจุบันได้รับการออกแบบโดยวอร์ริเออร์สปอตส์ที่กลายเป็นสโมสรที่ให้บริการชุดที่เริ่มต้นของฤดู 2012-13 เพียงเสื้อเชิ้ตแบรนด์อื่น ๆ ถูกสวมใส่โดยสโมสรที่ผลิตโดยอัมโบร จนกระทั่งปี 1985 เมื่อพวกเขาถูกแทนที่โดยอาดิดาส ผู้ซึ่งผลิตชุดจนกระทั่งปี 1996 เมื่อรีบ็อคเข้ามาครอบครองกิจการโดยผลิตชุดเป็นเวลา 10 ปีก่อนที่อาดิดาสจะเข้ามาทำแทนในช่วงปี 2006-2012
ลิเวอร์พูลเป็นเป็นสโมสรระดับมืออาชีพทีมแรกที่มีโลโก้ของสปอนเซอร์บนเสื้อของตัวเองหลังจากเห็นพ้องกับข้อตกลงกับบริษัท ฮิตาชิ ในปี ค.ศ. 1979 นับตั้งแต่นั้นมาสโมสรได้รับการสนับสนุนจาก Crown Paints, Candy, คาร์ลสเบิร์ก และสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด สัญญากับคาร์ลสเบิร์กลงนามเมื่อปี ค.ศ. 1992 เป็นสัญญาที่คงอยู่เป็นเวลานานที่สุดในฟุตบอลอังกฤษชั้นหนึ่ง สัญญาที่ทำร่วมกับคาร์ลสเบิร์กได้สิ้นสุดลงในช่วงเริ่มต้นของฤดูกาล 2010-11 เมื่อธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์กลายเป็นสปอนเซอร์ของสโมสร
สัญลักษณ์ของลิเวอร์พูลถูกอยู่บนฐาน Liver Bird ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองซึ่งในอดีตที่ผ่านมาได้วางอยู่ภายในโล่ ในปี ค.ศ. 1992 มีการจัดงานระลึกครบรอบ 100 ปีของสโมสร ป้ายใหม่ได้ถูกนำมาใช้รวมทั้งการประดับอยู่บนประตูแชงคลี ปีถัดมาเปลวไฟคู่ถูกเพิ่มเข้ามาในด้านใดด้านหนึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ระลึกถึงโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร ภายนอกสนามแอนฟีลด์ เปลวไฟที่เผาไหม้อยู่ในความทรงจำของผู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ภัยพิบัติฮิลส์โบโร ในปี ค.ศ. 2012 ชุดแข่งของลิเวอร์พูลชุด Warrior Sports เอาโล่และประตูที่เป็นส่วนหนึ่งของสัญลักษณ์ออก แล้วนำป้ายที่เคยประดับอยู่บนเสื้อลิเวอร์พูลในปี ค.ศ. 1970 กลับมาใช้ เปลวไฟถูกย้ายไปอยู่ที่ปกเสื้อด้านหลังโดยรอบตัวเลข 96 ที่เป็นตัวเลขของจำนวนผู้เสียชีวิตที่ฮิลส์โบโร
สนามฟุตบอลแอนฟีลด์สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1884 ติดกับแสตนลีย์ ปาร์ค เริ่มแรกเป็นสนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตัน ก่อนที่เอฟเวอร์ตันย้ายสนามไปกูดิสันพาร์ค หลังจากขัดแย้งในเรื่องค่าเช่าพื้นที่สนามกับจอห์น โฮลดิง ผู้เป็นเจ้าของแอนฟีลด์ หลังจากนั้นโฮลดิ้งได้ก่อตั้งสโมรสรลิเวอร์พูลขึ้นเมื่อปี 1892 และแอนด์ฟีลด์จึงกลายเป็นสนามเหย้าของลิเวอร์พูลนับแต่นั้นมา ในขณะนั้นมีความจุของสนามทั้งสิ้น 20,000 คน ถึงแม้จะมีเพียงผู้ชม 100 คนเข้าชมการแข่งขันครั้งแรกของลิเวอร์พูลที่แอนฟีลด์
ในปี 1906 อัฒจันทร์ฝั่งยืนที่อยู่ปลายด้านหนึ่งของพื้นดินถูกเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการซึ่งคนท้องถิ่นจะรู้จักกันในนาม สปิออน ค็อป หลังจากที่เนินเขาแห่งหนึ่งใน นาทาล ประเทศแอฟริกาใต้ โดยเกิดเหตุการณ์การทำสงครามบัวร์ขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1900 อังกฤษได้ส่งทหารไปกว่า 300 นาย โดยส่วนใหญ่เป็นชาวเมืองลิเวอร์พูล เมื่อถึงจุดสูงสุดอัฒจันทร์สามารถบรรจุผู้ชมได้ถึง 28,000 คน และเป็นอัฒจันทร์ยืนชั้นเดียวที่หญ่ที่สุดในโลก สนามกีฬาหลายแห่งในประเทศอังกฤษได้จึงตั้งชื่อ สปิออน ค็อป เป็นชื่อของอัฒจันทร์ แต่แอนฟีลด์เป็นสนามที่ใหญ่ที่สุดในตอนนั้น ซึ่งสามารถบรรจุผู้สนับสนุนได้มากกว่าพื้นที่สนามฟุตบอลทั้งหมด
แอนฟีลด์สามารถรองรับผู้สนับสนุนได้สูงสุดกว่า 60,000 คนและมีความจุ 55,000 ที่นั่ง จนกระทั่งทศวรรษ 1990 เทเลอร์ รีพอร์ต รายงานเหตุการณ์การถล่มของอัฒจันทร์ที่สนามฮิลส์โบโร่ พรีเมียร์ลีกจึงมีคำสั่งให้ทุกสนามเปลี่ยนจากอัฒจันทร์ยืนเป็นแบบนั่งทั้งหมดในฤดูกาล 1993-94 ลดความจุลงเหลือ 45,276 ที่นั่ง จากผลการวิจัยของเทอลร์ รีพอร์ต ได้ผลักดันให้มีการสร้างอัฒจันทร์ใหม่ทางด้าน Kemlyn Road Stand ในปี ค.ศ. 1992 ซึ่งตรงกับการครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งสโมสร จึงตั้งชื่อว่า เซนเทเนรีสแตนด์ เป็นชั้นพิเศษที่ถูกเพิ่มในฝั่งถนนแอนฟีลด์ปลายปี ค.ศ. 1998 ซึ่งต่อไปจะเพิ่มความจุของภาคพื้นดินแต่เกิดปัญหาขึ้นหลังจากการเปิดใช้ ชุดของเสาสนับสนุนและตอม่อถูกเสริมเข้าไปเพื่อสร้างความมั่งคงให้กับชั้นบนสุดของอัฒจันทร์ หลังจากการเคลื่อนไหวของชั้นอัฒจันทร์ได้ถูกรายงานช่วงเริ่มต้นของฤดูกาล 1999-2000
เนื่องจากข้อจำกัดในการขยายความจุที่นั่งของแอนฟีลด์ ลิเวอร์พูลได้ประกาศแผนเสนอให้ย้ายไปสนามแสตนลีย์ พาร์ค เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2002 แผนนี้ถูกอนุมัติในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2004 และในเดือนกันยายน ค.ศ. 2006 สภาเมืองลิเวอร์พูลได้อนุมัติสัญญาเช่า 999 ปี ทำให้ลิเวอร์พูลได้รับอนุญาตให้สร้างสนามแห่งใหม่ใกล้สแตนลีย์พาร์ก ภายหลังจากการซื้อสโมสรโดยจอร์จ จิลเลตต์ และทอม ฮิคส์ ในเดือนกรกฎาคมค.ศ. 2007 สโมสรได้นำเสนอแผนใหม่ที่ออกแบบและเสนอโดยบริษัท HKS เมืองดัลลัส สหรัฐอเมริกา โดยปรับความจุเป็น 76,000 ที่นั่ง มูลค่าการลงทุน 300 ล้านปอนด์ ต่อมาเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2008 เนื่องจากมูลค่าเหล็กกล้าในตลาดระหว่างประเทศสูงขึ้น ทำให้มูลค่าการลงทุนต้องเพิ่มขึ้นเป็น 400 ล้านปอนด์ ฮิคส์และจิลเล็ตต์จึงตัดสินใจยุติการสร้าง
ลิเวอร์พูลเป็นหนึ่งสโมสรฟุตบอลที่ได้รับการสนับสนุนมากที่สุดในโลก ลิเวอร์พูลแถลงว่าฐานแฟนคลับทั่วโลกรวมไปถึงมากกว่า 200 สาขาได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจาก Association of International Branches (AIB) อย่างน้อย 50 ประเทศ สโมสรจะได้ประโยชน์จากการสนับสนุนนี้ผ่านการทัวร์ฤดูร้อนทั่วโลก แฟนคลับของลิเวอร์พูลได้เรียกตัวเองว่าเป็น Kopites เป็นการอ้างถึงของแฟนๆ ที่เคยยืนและนั่งในเดอะค็อปที่แอนฟีลด์ ในปี ค.ศ. 2008 แฟนบอลของลิเวอร์พูลได้ก่อตั้งทีมสาขาย่อยของลิเวอร์พูลมีชื่อว่า A.F.C. Liverpool แฟนบอลนับพันของลิเวอร์พูลไม่สามารถเข้าไปดูการแข่งขันได้ เนื่องจากตั๋วเข้าชมนั้นหายากหรือไม่ก็แพงเกินไปสำหรับแฟนบอล
ที่มาของเพลง "You'll never walk alone" ประพันธ์ดนตรีโดย Richard Rodger เนื้อร้องโดย Oscar Hammerstein II แต่งขึ้นพื่อใช้ในการแสดงละครเพลงบอร์ดเวย์เรื่อง Carousel และต่อมาได้รับการบันทึกเสียงใหม่จาก Gerry and the Pacemakers ซึ่งเป็นนักดนตรีลิเวอร์พูลเมื่อต้นปี ค.ศ. 1960 และยังได้รับความนิยมจากแฟนคลับสโมสรอื่น ๆ ทั่วโลก ชื่อเพลงนี้ใช้ประดับบนประตู Shankly Gates ซึ่งเปิดเผยเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1982 เพื่อเป็นเกียรติยศของอดีตผู้จัดการทีม Bill Shankly คำว่า "You'll never walk alone" บนประตู Shankly Gates ถูกนำไปใส่ไว้ด้านบนของตราสัญลักษณ์สโมสร
ในปี ค.ศ. 2015 มีการสำรวจความนิยมจากแฟนฟุตบอลทั่วโลกผ่านทางโปรแกรมทวิตเตอร์ พบว่าในประเทศไทย มีผู้นิยมลิเวอร์พูลมากที่สุด โดยคิดเป็นร้อยละ 29.6 ในขณะที่สโมสรรองลงไป คือ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คิดเป็นร้อยละ 19.77 และเชลซี คิดเป็นร้อยละ 18.95 ส่วนในประเทศอังกฤษ ลิเวอร์พูล คือสโมสรที่มีผู้นิยมมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 15.21
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
ตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรในปี 1892, ผู้เล่น 45 คน ได้รับเลือกให้เป็นกัปตันทีมสโมสรลิเวอร์พูลแอนดิว ฮานนาห์ ได้เป็นกัปตันทีมคนแรกหลังจากแยกตัวออกจาก เอฟเวอร์ตัน อเล็กซ์ เรสเบค เป็นกับตันทีมในปี 1899 ถึง 1909 เป็นกัปตันทีมนานที่สุดก่อนที่ สตีเวน เจอร์ราด ซึ่งอยู่กับลิเวอร์พูลถึง 12 ฤดูกาล ตั้งแต่ 2003–04 กัปตันทีมคนปัจจุบันคือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ซึ่งมาแทนที่เจอร์ราด ในฤดูกาล 2015–16 หลังจากที่เจอร์ราดย้ายไปแอลเอ กาแลคซี
เนื่องจากประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูลที่ประสบความสำเร็จ ลิเวอร์พูลมักเป็นจุดเด่นเมื่อฟุตบอลเป็นที่ปรากฏในวัฒนธรรมอังกฤษและปรากฏอยู่บนสื่อลำดับแรก ๆ สโมสรปรากฏในนิตยสารแมทช์ ออฟ เดอะ เดย์ ของบีบีซีฉบับพิมพ์ครั้งแรก ซึ่งไฮไลท์การแข่งระหว่างลิเวอร์พูลกับอาร์เซนอลที่แอนฟีลด์เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ. 1964 และถือเป็นการถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอลครั้งแรกของโลกด้วย เป็นการถ่ายทอดในระบบขาวดำโดยบีบีซี และการแข่งขันฟุตบอลครั้งแรกระหว่างลิเวอร์พูลกับเวสต์แฮมยูไนเต็ดเป็นการถ่ายทอดสดแบบภาพสีในมีนาคม ค.ศ. 1967 วงดนตรี Pink Floyd ที่เป็นแฟนของลิเวอร์พูลร้องเพลง "Fearless" ซึ่งตัดต่อมาจากเพลง "You'll Never Walk Alone" เพื่อจดจำการปรากฏตัวของสโมสรในเอฟเอคัพรอบสุดท้ายเมื่อปี ค.ศ. 1988 ลิเวอร์พูลได้แต่งเพลงเป็นที่รู้จักนชื่อ "แอนฟีลด์แร็พ" ร้องร่วมกับจอห์น บาร์นส์และสมาชิกคนอื่นๆ ของทีม ละครสารคดีเรื่องภัยพิบัติฮิลส์โบโร่ถูกเขียนโดยจิมมี่ แม็คโกฟเวิร์น ถูกฉายในปี 1996
ลิเวอร์พูล เคยเดินมาแข่งขันในประเทศไทยแล้วทั้งหมด 6 ครั้ง โดยเป็นการแข่งขันนัดพิเศษกับทีมชาติไทย ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1986 โดยลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 3-0, ครั้งที่สองเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2001 ลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 3-1, ครั้งที่สามเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2003 ลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 3-1, ครั้งที่สี่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2009 โดยครั้งนี้เสมอกันไป 1-1, ครั้งที่ห้าเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2013 ลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 3-0 และครั้งสุดท้ายนับเป็นครั้งที่ 6 ในวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน (โดยครั้งนี้เป็นการแข่งขัดกับทรูออลสตาร์ ซึ่งเป็นการรวมผู้เล่นเด่น ๆ ในไทยพรีเมียร์ลีก) ลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 4-0 สรุปสถิติทั้งหมด ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายเอาชนะไทยไปได้ทั้งหมด 5 นัด และเสมอ 1 นัด โดยยังไม่เคยแพ้เลย
สำหรับในประเทศไทย ลิเวอร์พูล ถือได้ว่าเป็นสโมสรที่มีผู้สนับสนุนเป็นจำนวนมากสโมสรหนึ่ง โดยในเดือนเมษายน ค.ศ. 2015 มีการสำรวจผ่านการติดตามทางโปรแกรมทวิตเตอร์พบว่า ลิเวอร์พูลเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีชาวไทยเป็นผู้สนับสนุนมากที่สุดในบรรดาสโมสรฟุตบอลของอังกฤษทั้งหมด
สำหรับชาวไทยที่มีชื่อเสียง ที่เป็นผู้สนับสนุนลิเวอร์พูล เช่น เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง (นักฟุตบอลทีมชาติไทยและหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย), อภิภู สุนทรพนาเวศ (นักฟุตบอลทีมชาติไทย), สรยุทธ์ สุทัศนะจินดา (ผู้ประกาศข่าว), ธีระ ธัญไพบูลย์ (ผู้ประกาศข่าว), วีรศักดิ์ นิลกลัด (ผู้ประกาศข่าวและผู้บรรยายกีฬา), พิศณุ นิลกลัด (ผู้ประกาศข่าวและผู้บรรยายกีฬา), อดิสรณ์ พึ่งยา (ผู้ประกาศข่าวและผู้บรรยายกีฬา), สุฐิตา ปัญญายงค์ (ผู้ประกาศข่าว, พิธีกร และนักแสดง), พชร ปัญญายงค์ (ผู้ประกาศข่าวและนักธุรกิจ), วิรพร จิรเวชสุนทรกุล (นักแสดง), สาทิตย์ วงศ์หนองเตย (นักการเมือง), ณัฎฐ์ บรรทัดฐาน (นักการเมือง), กิตติ สิงหาปัด (ผู้ประกาศข่าว), นานา ไรบีนา (ดีเจและนักกีฬาแข่งรถ), โก๊ะตี๋ อารามบอย (นักแสดงและพิธีกร), วรเวช ดานุวงศ์ (นักร้องและนักแสดง), ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง (นักแสดงและพิธีกร), ศรราม เทพพิทักษ์ (นักร้องและนักแสดง), เปรมณัช สุวรรณานนท์ (นักแสดงและพิธีกร), ณัฐวุฒิ สกิดใจ (นักแสดง), รพีภัทร เอกพันธ์กุล (นักแสดง), ธนเวทย์ สิริวัฒน์ธนกุล (นักแสดง), ธนากร ชินกูล (ดีเจ,นักร้อง,นักแสดงและพิธีกร), นภัทร อินทร์ใจเอื้อ (นักร้องและนักแสดง), จารุวัฒน์ เชี่ยวอร่าม (นักร้องและนักแสดง), พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ (นักร้อง), พรชัย เค้าแก้ว (นักกีฬาเซปักตะกร้อทีมชาติไทย), หนึ่งธิดา โสภณ (นักแสดงและนักร้อง), พิพิธพล พุกกะณะสุต (นักร้องนำวงJetset'er), สิรีภรณ์ ยุกตะทัต (นักแสดงและพิธีกร), ภีรนีย์ คงไทย (นักแสดงและนางแบบ), รัชวิน วงศ์วิริยะ (นักแสดง-พิธีกรและดีเจ), ปิยะวัฒน์ เข็มเพชร (พิธีกรและดีเจ), ศุภวัฒน์ พีรานนท์ (นักร้อง), เทิดศักดิ์ ใจมั่น (นักฟุตบอลทีมชาติไทย), อภิเชษฐ์ พุฒตาล (นักฟุตบอลทีมชาติไทย), กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ (นักฟุตบอลทีมชาติไทย), ซารีฟ สายนุ้ย (นักฟุตบอลทีมชาติไทย), ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์ (นักฟุตบอลทีมชาติไทย), ประกาศิต โบสุวรรณ (นักร้องและนักแสดง), แอนดี้ เขมพิมุก (นักร้อง-นักแสดงและพิธีกร), แมทธิว ดีน (นักแสดงและพิธีกร), พงศ์สิรี บรรลือวงศ์ (นักกีฬาขี่ม้าทีมชาติและนักแสดง), นันทศัย พิศัลยบุตร (นักแสดง), เพ็ญเพ็ชร เพ็ญกุล (นักแสดงและนักร้อง), ณัฏฐพงษ์ ชาติพงษ์ (นักแสดง), สุวินัย อ่อนสอาด (ผู้บรรยายกีฬาฟุตบอลและนักจัดรายการวิทยุ), ทรงศักดิ์ วรรณวิจิตร (ผู้บรรยายกีฬาฟุตบอลและนักจัดรายการวิทยุ), ชิตพล ทรัพย์ขำ (ผู้บรรยายกีฬาฟุตบอลและนักจัดรายการวิทยุ), ปองกูล สืบซึ้ง (นักร้อง) ฯลฯ
การแข่งขันที่มีช่วงเวลาสั้นๆ เช่น ชาริตี/คอมมิวนิตีชิลด์ และ ซูเปอร์คัพ จะไม่นับรวมกับแชมป์รายการอื่นๆ
อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ได้ที่ http://th.wikipedia.org/wiki/Liverpool_F.C.